ขอแนะนำบล็อกที่รวบรวมผลงานหนังสือนิทานอีบุ้ค (e-book) หรือหนังสือนิทานอิเล็กทรอนิกส์ ผลงานทั้งหมดจัดทำขึ้นโดยนักศึกษาที่เรียนในรายวิชา นวัตกรรมและเทคโนโลยีสานสนเทศเพื่อการศึกษา สอนโดย อาจารย์อัจฉริยะ วะทา โดยบล็อกนี้มีชื่อว่า atinno.blogspot.com โดยถือได้ว่าเป็นแหล่งความรู้ที่รวบรวมเรื่องราวต่างๆไว้มากมาย สำหรับท่านใดที่มีความสนใจสามารถเข้าชมได้เลยนะคะ
อย่าลืมนะคะ หากท่านใดที่มีความสนใจในเรื่องของนวัตกรรมและสารสนเทศเพื่อการศึกษา หรือการทำนิทานอีบุ๊ค เชิญชมที่บล็อกของเราค่ะ
ซึมซับภาษาไทยวันละนิด
วันพฤหัสบดีที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2555
การอ่านคำทับศัพท์
หลักเกณฑ์การทับศัพท์ภาษาอังกฤษ
๑. สระ ให้ถอดตามการออกเสียงในพจนานุกรมภาษาอังกฤษ
โดยเทียบเสียงสระภาษาไทยตามตารางเทียบเสียงสระภาษาอังกฤษ
๒. พยัญชนะ
ให้ถอดเป็นพยัญชนะภาษาไทยตามหลักเกณฑ์ในตารางเทียบพยัญชนะภาษาอังกฤษ
๓. การใช้เครื่องหมายทัณฑฆาต
๓.๑ พยัญชนะตัวที่ไม่ออกเสียงในภาษาไทย ให้ใส่เครื่องหมายทัณฑฆาตกำกับไว้ เช่น
horn
= ฮอร์น
Windsor = วินด์เซอร์
๓.๒ คำหรือพยางค์ที่ตัวสะกดมีพยัญชนะตามมาหลายตัว
ให้ใส่เครื่องหมายทัณฑฆาต
ไว้บนพยัญชนะที่ไม่ออกเสียงตัวสุดท้ายแต่เพียงแห่งเดียว เช่น
Okhotsk = โอค็อตสก์
Barents = แบเร็นตส์
๓.๓ คำหรือพยางค์ที่มีพยัญชนะไม่ออกเสียงอยู่หน้าตัวสะกด
ที่ยังมีพยัญชนะตามหลังมาอีก ให้ตัดพยัญชนะที่อยู่หน้าตัวสะกดออก
และใส่เครื่องหมายทัณฑฆาตไว้บนพยัญชนะตัวสุดท้าย เช่น
world
= เวิลด์
quartz = ควอตซ์ Johns = จอนส์ first = เฟิสต์
๔. การใช้ไม้ไต่คู้ ควรใช้ในกรณีต่อไปนี้
๔.๑ เพื่อให้เห็นแตกต่างจากคำไทย เช่น
log =
ล็อก
๔.๒ เพื่อช่วยให้ผู้อ่านแยกพยางค์ได้ถูกต้อง เช่น
Okhotsk = โอค็อตสก์
๕. การใช้เครื่องหมายวรรณยุกต์ การเขียนคำทับศัพท์
ไม่ต้องใส่เครื่องหมายวรรณยุกต์ ยกเว้นในกรณีที่คำนั้นมีเสียงซ้ำกับคำไทย
จนทำให้เกิดความสับสน อาจใส่เครื่องหมายวรรณยุกต์ได้ เช่น
coke
= โค้ก
coma = โคม่า |
|
คำอุทาน
คำอุทาน
คือ คำอุทาน หมายถึง คำที่แสดงอารมณ์ของผู้พูดในขณะที่ตกใจ
ดีใจ เสียใจ ประหลาดใจ หรืออาจจะเป็นคำที่ใช้เสริมคำพูด
คำอุทานแบ่งเป็น ๒ จำพวก ดังนี้
คำอุทานแบ่งเป็น ๒ จำพวก ดังนี้
๗.๑
อุทานบอกอาการคือ คำอุทานที่ผู้พูดเปล่งออกมา เพื่อให้รู้จักอาการและความรู้สึกต่างๆ ของผู้พูด เวลาเขียนมักนิยมใช้เครื่องหมาย !(อัศเจรีย์) กำกับไว้หลังคำนั้น เช่น
ตัวอย่าง
๑แสดงอาการร้องเรียกหรือบอกให้รู้ตัว
ได้แก่ แน่ะ!,นี่แน่ะ!,เฮ้!,เฮ้อ!
๒. แสดงอาการโกรธเคือง ได้แก่ เหม่!,อุเหม่!,ฮึ่ม!,ชิชะ!,ดูดู๋! ๓.แสดงอาการตกใจ ได้แก่ ว้าย!,ตาย !,ช่วยด้วย !,คุณพระช่วย! ๔.แสดงอาการประหลาดใจ ได้แก่ ฮ้า!,แหม!,โอ้โฮ!,แม่เจ้าโว้ย! ๕.แสดงอาการสงสารหรือปลอบโยน ได้แก่ โถ!,โธ่!,อนิจจัง!,พุทโธ่! ๖.แสดงอาการเข้าใจหรือรับรู้ เช่น อือ!,อ้อ!,เออ!,เออน่ะ! ๗.แสดงอาการเจ็บปวด เช่น อุ๊ย!,โอย!,โอ๊ย! ๘.แสดงอาการดีใจ เช่น ไชโย! |
![]() |
คำอุทานเสริมบท
ตัวอย่าง
แบ่งเป็น ๒ ประเภท คือ
|
๑.คำที่กล่าวเสริมขึ้นเพื่อให้คล้องจอง
หรือมีความหมายในการพูดดีขึ้น เช่น หนังสือ,หนังหา,ส้มสุกลูกไม้,กางกุ้งกางเกง ฯลฯ
๒.คำที่แทรกลงในระหว่างคำประพันธ์
เพื่อให้เกิดความสละสลวยและให้มีคำครบถ้วนตามต้องการในคำประพันธ์นั้นๆ
คำอุทานชนิดนี้ใช้ เฉพาะในคำประพันธ์
ไม่นำมาใช้ในการพูดสนทนา เช่น
อ้า ,โอ้ ,โอ้ว่า,แล,นา ,ฤา , แฮ, เอย ,เฮย ฯลฯ
|
ฝึกทักษะการเป็นผู้ฟังที่ดี
หัวใจนักปราชญ์ประกอบด้วย สุ จิ ปุ ลิ
อยู่ที่การฟังเป็น วันนี้จะขอนำเสนอเรื่องของการฟัง
ซึ่งเป็นหนึ่งในหัวใจนักปราชญ์ ประกอบด้วย สุ จิ ปุ ลิซึ่งสุคือการฟัง จิ คือการคิด ปุ คือการถามหรือกระตุ้น ลิ คือการเขียนและจดบันทึก
ในปัจจุบันนี้สังคมเรา ในหน่วยงาน องค์กรเรา ไม่ว่าจะเป็นคนในครอบครัวเดียวกันก็ตาม
มักจะมีเรื่องที่ไม่เข้าใจกันอยู่มาก และมีแนวโน้มจะทวีมากขึ้นเรื่อยๆ หากเราลองวิเคราะห์ดูแล้ว สาเหตุแรกน่าจะมาจากขาดการฟัง
หรือว่าฟังแล้วฟังไม่เป็นนั่นเอง
จุดประสงค์ของการฟัง
การฟังที่ดีผู้ฟังจะต้องตั้งวัตถุประสงค์ไว้ในใจเสียก่อน
โดยทั่วไปมักมีจุดประสงค์ใหญ่ๆ 3 ประการคือ
(1) ฟังเพื่อให้เกิดความรู้และความรอบรู้
(2) ฟังเพื่อหาเหตุผลมาโต้แย้งหรือคล้อยตาม
ซึ่งเป็นที่มีจุดมุ่งหมายให้ผู้ฟังมีวิจารณญานในการฟังเป็นสำคัญ คือฟังอะไรแล้ว ต้องเป็นผู้รู้จักคิด
รู้จักไตร่ตรองว่า สิ่งที่ตนได้ฟังมานั้นมีเหตุผลสมควรเชื่อถือหรือไม่
อันเป็นการฝึกให้เป็นคนสุขุมรอบคอบ ไม่เชื่อในสิ่งใดอย่างงมงาย
(3) ฟังเพื่อความเพลิดเพลิน
และซาบซึ้ง เป็นการฟังด้วยความนิยมชมชอบ ผู้ฟังจะได้รับทั้งความสนุกสนาน
และความเพลิดเพลิน
การฟังอย่างนี้ถือเป็นการตอบสนองความต้องการทางอารมณ์ช่วยผ่อนคลายความตึงเครียด
การเป็นผู้ฟังที่ดี
การฟังเป็นสิ่งที่สำคัญต่อชีวิตของบุคคลทั่วไป เราควรจะทราบของการเป็นผู้ฟังที่ดี มีดังนี้
1. มีสมาธิในการฟัง การมีสมาธิเป็นสิ่งจำเป็นในการฟัง
ผู้ฟังต้องตัดความวิตกหรือความกังวลใจต่างๆออกจากจิตใจให้หมด ฉะนั้นทุกครั้งที่ฟังเรื่องใดก็ตาม ผู้ฟังต้องหมั่นฝึกความมีสมาธิให้แก่ตนเอง พยายามพุ่งความสนใจไปในเรื่องที่ตนกำลังฟังนั้น
2. ตั้งจุดมุ่งหมายในการฟัง ในการฟังแต่ละครั้ง
ผู้ฟังควรตั้งจุดมุ่งหมายไว้ว่าจะฟังเพื่ออะไร เช่นฟังเพื่อจับใจความสำคัญ
ฟังเพื่อความเพลิดเพลิน เป็นต้น การฟังอย่างไร้จุดมุ่งหมายย่อมเสียเวลาในการฟัง
3.วิเคราะห์เจตนาของผู้พูด
คือต้องรู้จักวิเคราะห์เจตนาของผู้พูดว่า ผู้พูดมีความประสงค์อย่างไร
มีสิ่งใดแอบแฝงซ่อนเร้นอยู่ในเรื่องที่พูดหรือไม่
4. สนใจและจับประเด็นสำคัญของเรื่องที่ฟังให้ได้ คือขณะฟังต้องรู้จักใช้สติปัญญาวิเคราะห์ดูว่า ผู้พูดกำลังพูดเรื่องอะไร
ให้สารประโยชน์อะไรบ้าง เรื่องที่ฟังนั้นมีประเด็นสำคัญอย่างไร
แล้วพยายามสรุปความคิดรวบยอดให้ได้
5. ต้องวางใจเป็นกลางไม่มีอคติใดๆต่อผู้พูด การมีอคติและการจับผิดผู้พูดย่อมมีผลเสียมากกว่าได้
ควรหลีกเลี่ยงการจับผิดเล็กๆน้อยๆ เช่นการแต่งกาย
การพูดซ้ำๆซากๆ ในบางคำ ฯลฯ เพราะจะทำให้ผู้ฟังเกิดความรู้สึก
ว่าเรื่อที่กำลังฟังนั้นเป็นเรื่อน่าตำหนิ ควรสร้างเจตคติที่ดีต่อผู้พูดเสมอ
การทำใจได้เช่นนี้ จะทำให้บรรยากาศการฟังเป็นไปอย่างราบรื่นและเข้าใจดี
6. ฟังด้วยความอดทนและตั้งใจฟัง ต้องอดทนและตั้งใจฟังตั้งแต่ต้นจนจบ การฟังอย่างครึ่งๆกลาง
หรือฟังเพียงบางตอน ย่อมทำให้ไม่สามารถเข้าใจเนื้อเรื่องได้อย่างสมบูรณ์
7. ฟังอย่างสำรวม
ให้เกียรติผู้พูด และมีมารยาทอันดีงาม นับเป็นคุณสมบัติของผู้ฟังที่ดี การรู้ว่าสิ่งใดควรไม่ควร เช่นการลุกเข้าออก การทำเสียงเอะอะ
นับเป็นกิริยาที่ไม่เหมาะสม ถือว่าไม่ให้เกียรติผู้พูด
และเป็นการเสียมารบาทอย่างยิ่ง การฟังในห้องหากไม่จำเป็นก็ไม่ควรลุกออก
แต่ถ้าจำเป็นจริงๆ ก็ควรทำความเคารพผู้พูดเสียก่อน ไม่พยายามถามสอด ควรฟังเรื่องที่ผู้พูด
ต้องการพูดให้หมดแล้ว จะซักถามหรือแสดงความคิดเห็นก็ควรถามภายหลัง
8. ใช้ศิลปะในการฟัง ผู้ฟังที่ดีไม่ควรฟังอย่างเดียว ควรใช้ไหวพริบในบางโอกาส
เพื่อช่วยให้ผู้พูดสามารถถ่ายทอดความรู้ ความคิดของตนไปสู่จุดมุ่งหมายปลายทาง
ตามที่ผู้ฟังต้องการโดยใช้คำถามนำไปสู่จุดที่ผู้ฟังต้องการ
9. ขณะฟังควรบันทึกสิ่งสำคัญ หากสงสัยหาโอกาสซักถามให้เหมาะสม
10. หลังการฟัง
ผู้ฟังควรมีเวลาคิดทบทวน ว่าเรื่องราวต่างๆ
ที่ฟังไปนั้นตรงกับข้อเท็จจริง และมีเหตุผลน่าเชื่อถือเพียงใด
มีสิ่งใดจะนำไปปฏิบัติให้เกิดประโยชน์ได้หรือไม่
และรู้จักนำความรู้หรือข้อคิดต่างๆที่ได้จากการฟังไปใช้ประโยชน์ ตามโอกาสอันสมควร
ฝึกออกเสียง ร,ล
บทความ เนื้อเรื่อง หรือ คำอธิบาย
โดยละเอียด
ตัวอย่างแบบฝึกหัดการอ่านออกเสียง
" ร " และ " ล "
แบบฝึกหัดออกเสียง ร , ล ชุดที่ 1
ลานโรงเรียนเลี่ยนราบและร่มรื่น เด็กรื่นรมย์ซ่อนเร้นเล่นซ่อนหา
ลุกลี้ลุกลนนักชักระอา อย่ารอราเร่งเร้าเข้าห้องเรียน
การเล่าเรียนมามวลล้วนหลายหลาก เรียนไม่ยากพูดฟังทั้งอ่านเขียน
ครูรับรองลองวิชาถ้าพากเพียร จักเป็นเธียรคนเทิดเรียนเลิศเอย
แบบฝึกหัดออกเสียง ร , ล ชุดที่ 2
นักเรียนชอบล้อเลียน พื้นโล่งเตียนเลี่ยนเรียบดี
ลีลาอย่ารอรี เราเริงรื่นลื่นล้มลง
พวกเราเล่าเรื่องราว ร้องเพลงลาวคราวชมดง
ไปไร่วิ่งไล่หลง ร้องเรียกเพื่อนเลือนลอยหาย
ลมโชยโรยกลิ่นอวล มาลีล้วนงามเรียงราย
รื่นรมย์ชมลวดลาย วิไลลักษณ์น่ารักจริง
ของรักใครลอบลัก ลุกลนนักนะลูกลิง
เรือล่องร้องประวิง เหล่านักเลงเร่งราวี
รักเร่เล่ห์ลมลวง ดอกโรยร่วงปวงมาลี
ร่ำไรอาลัยมี มาโลมเล้าเราร้อนรน
เรไรร้องจำเรียง ลองไล่เลียงเสียงสับสน
รูปร่างช่างชอบกล คนเรียบเรียงเลี่ยงแล้วเอย
แบบฝึกหัดคำ ร , ล ชุดที่ 3
นกรุ้งบินเล่นลมอย่างร่าเริง
ลูกลิงวิ่งล้อเล่นในที่รกรุงรัง
ลุงหลานรีบร้อนทำงานลุกลน
ต้นลางลิงขึ้นพันรุงรังอยู่ริมรั้ว
บ๋อยโรงแรมลื่นล้มอาการร่อแร่
เธอเรียบร้อยดอกรักเป็นลวดลาย
เรือรบแล่นเลยท่าไปอย่างรวดเร็ว
แบบฝึกหัดออกเสียง ร , ล ชุดที่ 1
ลานโรงเรียนเลี่ยนราบและร่มรื่น เด็กรื่นรมย์ซ่อนเร้นเล่นซ่อนหา
ลุกลี้ลุกลนนักชักระอา อย่ารอราเร่งเร้าเข้าห้องเรียน
การเล่าเรียนมามวลล้วนหลายหลาก เรียนไม่ยากพูดฟังทั้งอ่านเขียน
ครูรับรองลองวิชาถ้าพากเพียร จักเป็นเธียรคนเทิดเรียนเลิศเอย
แบบฝึกหัดออกเสียง ร , ล ชุดที่ 2
นักเรียนชอบล้อเลียน พื้นโล่งเตียนเลี่ยนเรียบดี
ลีลาอย่ารอรี เราเริงรื่นลื่นล้มลง
พวกเราเล่าเรื่องราว ร้องเพลงลาวคราวชมดง
ไปไร่วิ่งไล่หลง ร้องเรียกเพื่อนเลือนลอยหาย
ลมโชยโรยกลิ่นอวล มาลีล้วนงามเรียงราย
รื่นรมย์ชมลวดลาย วิไลลักษณ์น่ารักจริง
ของรักใครลอบลัก ลุกลนนักนะลูกลิง
เรือล่องร้องประวิง เหล่านักเลงเร่งราวี
รักเร่เล่ห์ลมลวง ดอกโรยร่วงปวงมาลี
ร่ำไรอาลัยมี มาโลมเล้าเราร้อนรน
เรไรร้องจำเรียง ลองไล่เลียงเสียงสับสน
รูปร่างช่างชอบกล คนเรียบเรียงเลี่ยงแล้วเอย
แบบฝึกหัดคำ ร , ล ชุดที่ 3
นกรุ้งบินเล่นลมอย่างร่าเริง
ลูกลิงวิ่งล้อเล่นในที่รกรุงรัง
ลุงหลานรีบร้อนทำงานลุกลน
ต้นลางลิงขึ้นพันรุงรังอยู่ริมรั้ว
บ๋อยโรงแรมลื่นล้มอาการร่อแร่
เธอเรียบร้อยดอกรักเป็นลวดลาย
เรือรบแล่นเลยท่าไปอย่างรวดเร็ว
เทคนิคในการช่วยจำ
ความหมายของ "ความจำ"
เป็นคำที่ใช้อธิบายวิธีการที่ข้อมูล หรือสิ่งที่เรียนรู้ถูกบันทึก
และเก็บไว้ถาวรในความจำระยะยาวและสามารถที่จะค้นคืนหรือเรียกมาใช้ (Retrieve) ในเวลาที่ต้องการได้
ความรู้ที่นักเรียนเรียนรู้แล้วแต่จำไม่ได้ก็จะไม่มีประโยชน์
นักเรียนส่วนมากจะไม่มีวิธีการเรียนและวิธีจดจำที่มีประสิทธิภาพ วิธีทั่วๆไป
ที่นักเรียนใช้อยู่เสมอ เช่น
การอ่านทบทวนการสรุปและการขีดเส้นใต้ใจความสำคัญนั้น
ไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุดที่จะช่วยความจำ
ความจริงแล้วมนุษย์เราได้ค้นพบวิธีช่วยความจำ (Memonic
Device) ที่ได้ผลดีมากมานานนับเป็นพันๆ
ปีแล้ว เยสท์ ลูเรีย ฮันท์ และเลิฟ (Yates,
1966 Luria, 1968 Hunt and Love, 1972) พบว่า
การสอนเทคนิคในการช่วยความจำให้แก่นักเรียน
เพื่อนักเรียนจะได้เก็บสิ่งที่เรียนรู้ไว้ในความทรงจำได้นาน ๆ
เทคนิคช่วยความจำที่ใช้กันอยู่มีทั้งหมด
6 วิธี คือ
(1) การสร้างเสียงสัมผัส
(2) การสร้างคำเพื่อช่วยความจำจากอักษรตัวแรกของแต่ละคำ
(3) การสร้างประโยคที่มีความหมายจากอักษรตัวแรกของกลุ่มของที่จะจำ
(4) วิธี Pegword
(5) วิธีโลไซ (Loce)
(6) วิธี Keyword ซึ่งเป็นวิธีที่ใหม่ที่สุด
1. การสร้างเสียงสัมผัส เป็นวิธีที่ใช้ได้ผลดีมาก
และสิ่งที่จดจำจะอยู่ในความทรงจำเป็นเวลานาน บทเรียนภาษาไทยมีผู้คิดแต่งกลอนที่มีสัมผัสและมีความหมายเพื่อให้จำได้ง่าย
เช่น การจำการันใช้ไม้ม้วนและคำที่ขึ้นต้นด้วย " บัน "
2. การสร้างคำเพื่อช่วยความจำจากอักษรตัวแรกของแต่ละคำ การสร้างคำเพื่อช่วยความจำวิธีนี้ทำได้โดยการนำอักษรตัวแรกของแต่ละคำที่จะต้องการจำมาเน้นคำใหม่ที่มีความหมาย
เช่น การจำชื่อทะเลสาปที่ใหญ่ทั้งห้าของอเมริกาเหนือสร้างคำว่า Homes ซึ่งหมายถึงทะเลสาป Huron,
Ontario, Michigan, Eric, Superior ตามลำดับการท่องจำทิศทั้ง 8
ก็มีผู้คิดว่า
ควรจะท่องจำ "อุ-อิ-บุ-อา-ทัก-หอ-ประ-พา" เริ่มจากทิศเหนือแล้ววนขวาตามลำดับ
3. การสร้างประโยคที่ความหมายช่วยความจำ (Acrostic) ตัวอย่างการใช้ประโยคที่มีความหมายสร้างจากอักษรตัวแรกของการจำชื่อ
9 จังหวัดที่อยู่ในภาคเหนือของประเทศไทยว่า
"ชิดชัยมิลังเลเพียงพบอนงค์" ซึ่งศาสตราจารย์สมุน อมรวิวัฒน์ ได้คิดขึ้น
ถ้าถอดคำออกมาจะเป็นชื่อจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน ลำพูน ลำปางแพร่
พะเยา อุตรดิตถ์ น่าน
4. วิธี Pegword เป็นวิธีที่มีประโยชน์สำหรับการท่องจำรายชื่อ
สิ่งของหลาย ๆ อย่างที่จะต้องมีลำดับ 1, 2, 3…การใช้จำเป็นจะต้องสร้าง Pegs ขึ้น และท่องจำปกติ มักจะใช้ตัวเลขมีความสัมผัสกับสิ่งของให้มีเสียงสัมผัส(Rhyme)การใช้ก็ต้องใช้จินตนาการช่วยในการจำ
การไปซื้อของหลายอย่างอาจจะใช้วิธี Pegword ตัวอย่างเช่น ต้องซื้อของ 7-8 อย่าง อย่างที่หนึ่ง คือ สี อย่างที่สอง คือ ดอกกุหลาบ ฯลฯ
ก็อาจจะใช้จิตนาการว่า Bun ลอยอยู่บนป๋องสี เป็นอย่างที่ 1 และดอกกุหลาบโผล่ออกมาที่รองเท้า ประโยชน์ของวิธี Pegword ช่วยความจำ เป็นการช่วยให้ระลึกให้ง่าย
และอาจจะระลึกได้ง่ายทั้งลำดับปกติ คือจากหน้าไปหลัง (Foreard) หรือย้อนจากหลังไปหน้า (Backwards)
5.วิธีโลไซ (Loci Method) วิธีโลไซนับว่าเป็นวิธีช่วยความจำที่เก่าแก่ที่สุด
คำว่า "Loci" แปลว่า ตำแหน่ง
แหล่งที่มาของวิธีโลไซไม่ปรากฏแน่ชัด
แต่มีเรื่องนิยายเกี่ยวกับวิธีช่วยความจำโลไซที่เล่าต่อ ๆ
กันมาเป็นเวลาหลายร้อยปีวิธีโลไซเน้นหลักการจำโดยการสร้างมโนภาพเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมที่ต้องการจะจำ
โดยใช้สถานที่และตำแหน่งเป็นสิ่งเตือนความจำ (Memory
Pegs) เรื่องมีอยู่ว่าเมื่อราว
450 ปี ก่อนคริสตกาล
วิธีช่วยความจำ โลไซมักจะใช้ช่วยความจำเกี่ยวกับสถานที่
เช่น ห้องต่าง ๆ ในบ้าน อาคารต่าง ๆ ของโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย หรือร้านค้าต่าง ๆ
บนถนนก็ได้ กฎเกณฑ์พื้นฐานของวิธีช่วยความจำโลไซมีดังต่อไปนี้
1.สถานที่หรือตำแหน่งต่าง ๆ
ที่จะเลือกใช้ควรจะอยู่ใกล้กัน
2.จำนวนสถานที่หรือตำแหน่งที่จะใช้ควรจะเป็นจำนวนไม่เกิน
10 แห่ง
3.ควรกำหนดหมายเลขให้แต่ละสถานที่ตามลำดับตั้งแต่หนึ่งไปจนถึงสถานที่สุดท้าย
และควรจะสามารถระลึกได้ทั้งหน้าไปหลังและหลังไปหน้า
4.สถานที่ใช้ควรจะเป็นที่ ๆ คุ้นเคย
และผู้ใช้สามารถจะนึกภาพได้อย่างชัดเจน ฉะนั้นสถานที่ ๆ จะใช้ควรจะมาจากประสบการณ์
5.สถานที่จะใช้เป็นเครื่องช่วยความจำโลไซ
ควรจะมีลักษณะแตกต่างกันอย่างเห็นชัด ผู้ใช้ควร
จะเน้นสิ่งเด่นของแต่ละสถานที่
6.ผู้ใช้จะต้องสามารถที่จะสร้างจินตนาการภาพของลักษณะเดิมของแต่ละสถานที่ได้
เป็นต้นว่าเครื่องแต่งห้องมีลักษณะพิเศษอะไรบ้าง
ในการปฏิบัติ
ผู้ที่ประสงค์จะใช้วิธีช่วยความจำโลไซจะต้องนำมาเป็นสิ่งแรกคือ
เลือกหาสถานที่ซึ่งประกอบด้วยส่วนประกอบตามธรรมชาติ เช่น บ้าน สิ่งแรกคือห้องรับแขก
ห้องอาหาร ห้องครัว เป็นต้น หลังจากนั้นก็นำสิ่งที่คนอยากจะจดจำ
อาจจะเป็นสิ่งของเหตุการณ์หรือความคิดก็ได้
พยายามเชื่อมโยงสิ่งที่จะจำกับสถานที่หรือสิ่งของที่ได้ให้หมายเลขไว้
และเมื่อจะระลึกถึงสิ่งที่ต้องการจำก็เริ่มจากหมายเลข 1 เป็นต้นไป
Kla : วิธีนี้เป็นวิธี นักจำแชมป์โลก ส่วนใหญ่ใช้กันอยู่นะครับ
ยกตัวอย่างในการแข่งขัน จดจำตัวเลข
โดยจะสุ่มขึ้นมาเช่น 1 3 2 3 5 5 โดยให้เวลาจำทั้งหมด 1 ชั่วโมง และให้เวลาเรียนตัวเลข 2 ชั่วโมง DR-Gunther จดจำตัวเลขได้ 1949 ตัว โดยสามารถทวนตัวเลขได้อย่างสมบูรณ์แบบ แถมยังเป็น แชมป์อีก 8 สมัย
6.วิธี Keyword วิธีช่วยความจำที่เรียกว่า Keyword เป็นวิธีใหม่ที่สุด มีผู้เริ่มใช้ เมื่อปี พ.ศ. 2518 แอตคินสันหรือผู้ร่วมงาน ขั้นตอนของวิธี Keyword มีเพียง 2 ขั้น คือ
1.พยายามแยกคำภาษาต่างประเทศที่จะเรียน ซึ่งเวลาออกเสียงแล้วคล้ายภาษาไทย
นี้คือ Keyword 2.นึกถึงความหมายของคำ Keyword ในภาษาไทยแล้ว แล้วมาหาคำสัมผัสของความหมายของ Keyword ในภาษาไทยตามเสียงที่อ่านและความหมายของคำภาษาต่างประเทศที่จะเรียน
สรุปแม้วิธีช่วยความจำแบบ Keyword ใช้การเรียนคำในภาษาต่างประเทศเป็นการเชื่อมโยงกับความหมายของ
คำกับ Keyword โดยเสียง
และเชื่อมโยงกับความหมายของคำในภาษาไทยได้โดยการใช้จินตนาการ ตัวอย่างเช่น
คำภาษาอังกฤษ Potato แปลว่า มันฝรั่ง อ่านว่า โพเทโท คำ Keyword ใช้คำว่าโพหรือโพธิ์ ฉะนั้นอาจจะจำคำ
"โพเทโท" โดยนึกวาดภาพคำว่า โพธิ์
และมันฝรั่งตามตา มีใบโพธิ์โผล่ขึ้นมาวิธี Keyword ช่วยในการเรียนเรื่องอื่น ๆ เช่น
การจำชื่อเมืองหลวงต่าง ๆ และความสำเร็จของบุคคลต่าง ๆ
นักจิตวิทยาได้ทดลองวิจัยเกี่ยวกับการใช้วิธี Keyword ช่วยความจำทั้งในโรงเรียนประถม มัธยม
และมหาวิทยาลัยปรากฏว่าได้ผลดีทุกระดับ
สรุปแล้ว เครื่องช่วยความจำ (Memonic Devices) ช่วยให้ผู้เขียนสามารถที่จะเข้ารหัส
สิ่งที่เรียนเก็บไว้ในความจำระยะยาว
และเวลาที่ต้องการใช้ก็สามารถค้นคืนหรือเรียกมาใช้ได้ง่าย
ฉะนั้นการสอนนักเรียนให้ใช้เครื่องช่วยจำจึงมีประโยชน์ เพราะจะได้แก้ความเข้าใจผิดที่ว่า
คนจำเก่งเป็นคนที่มีระดับสติปัญญาสูง
ถ้านักเรียนได้ทดลองใช้วิธีช่วยความจำในการเรียนขึ้นและสนุกในการที่จะค้นคืนวิธีที่จดจำสิ่งที่เรียกได้ดี
เวลาสอบก็จะทำคะแนนได้ดีขึ้น
วัตถุประสงค์ของการศึกษาโดยทั่วไปแล้ว
ไม่แต่เพียงว่าให้นักเรียนสามารถที่จะระลึกถึงสิ่งที่เรียนรู้แล้วเท่านั้นแต่จะต้องให้นักเรียนสามารถวิเคราะห์และรวบรวมสิ่งที่เรียนให้เป็นหมวดหมู่
และสามารถที่จะประเมินสิ่งที่เรียนรู้ได้ด้วย การสอนวิธีช่วยความจำ
เพื่อช่วยให้นักเรียนระลึกถึงสิ่งที่เรียนรู้ได้เท่านั้น จึงยังไม่พอ
นักจิตวิทยาได้ค้นหาวิธีที่จะช่วยนักเรียนจดจำได้นาน ๆ โดยใช้วิธีที่เรียกว่า TACE (Topic, Area,Characteristic และ Example)
และ วิธี Loci ผสมกัน
2.ยุทธศาสตร์การเรียนรู้อย่างสมบูรณ์แบบ
วิธีเรียนรู้ที่ช่วยความจำด้วยวิธีนี้ ประกอบ ด้วย 2 ส่วน
1. การใช้สมาธิ (Concentration Management) นักเรียนและนักศึกษาได้รับการ
สอนให้ใช้สมาธิฝึกตัวเองให้ผ่อนคลายความเครียด (Relax)
และลดความกังวล
(Anxiety) นอกจากนี้ยังสอนให้มีเป้าหมายเป็นความหวังว่าจะมีความสำเร็จ
2. แผ่นภาพเครือข่าย (Networking หรือ Mapping) ซึ่งมีวัตถุประสงค์ที่จะช่วยนนักเรียนให้สามารถที่จะได้ความคิดรวบยอดและหลักการจากสิ่งที่ตนอ่าน
และสามารถจะหาความสัมพันธ์และเชื่อมโยงได้
ความสัมพันธ์อาจจะเรียงจากลำดับขั้นสูงไปหาต่ำ ตัวอย่างเช่น
การเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องแร่ อาจจะเขียนเป็นเครือข่ายแดนเชอโรและคณะ (Dansereau et al, 1979) ได้ทำการทดลองใช้วิธีดังกล่าวกับนิสิตมหาวิทยาลัยโดยใช้เวลาฝึกหัดการใช้สมาธิและการสร้างเครือข่าย
ปรากฎว่านิสิตที่อยู่ในกลุ่มทดลองสามารถทำคะแนนได้ดีกว่ากลุ่มควบคุมที่ไม่ได้รับการฝึกหัดระบบยุทธศาสตร์การเรียนรู้อย่างสมบูรณ์แบบ
สรุป
ทฤษฎีวิธีช่วยความจำมีบทบาทสำคัญในการเรียนรู้ และถ้าสอนให้นักเรียนหรือนักศึกษาสามารถที่จะใช้วิธีช่วยความจำ
เพื่อที่จะแน่ใจว่าสิ่งที่สอนให้นักเรียนหรือข้อมูลต่าง ๆ
ที่ให้นักเรียนได้รับการเข้ารหัสบันทึกในความจำระยะยาว
และสามารถที่จะเรียกมาใช้ได้ตามความต้องการทุกเวลา
การอ่านออกเสียงบทร้อยกรอง
การอ่านออกเสียงบทร้อยกรอง
1. ความหมายของบทร้อยกรอง
บทร้อยกรอง หมายถึง ถ้อยคำที่เรียบเรียงให้เป็นระเบียบตามบัญญัติแห่งฉันทลักษณ์โดยมีกำหนดข้อบังคับต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความครึกครื้น และมีความไพเราะแตกต่างไปจากถ้อยคำธรรมดา ในการอ่านบทร้อยกรองนั้น เราเรียนกว่า “การอ่านทำนองเสนาะ”
2. ความหมายของ “การอ่านทำนองเสนาะ”
การอ่านทำนองเสนาะคือ วิธีการอ่านออกเสียงอย่างไพเราะตามลีลาของบทร้อยกรองประเภท โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน ( พจนานุกกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 หน้า 528 )
บางคนให้ความหมายว่า การอ่านทำนองเสนาะ คือ การอ่านตามทำนอง ( ทำนอง = ระบบเสียงสูงต่ำ ซึ่งมีจังหวะสั้นยาว ) เพื่อให้เกิดความเสนาะ ( เสนาะ , น่าฟัง , เพราะ , วังเวงใจ )
3. วัตถุประสงค์ในการอ่านทำนองเสนาะ
การอ่านทำนองเสนาะเป็นการอ่านให้คนอื่นฟัง ฉะนั้นทำนองเสนาะต้องอ่านออกเสียง เสียงทำให้เกิดความรู้สึก – ทำให้เห็นความงาม – เห็นความไพเราะ – เห็นภาพพจน์ ผู้ฟังสัมผัสด้วยเสียงจึงจะเข้าถึงรสและความงามของบทร้อยกรองที่เรียนกว่า อ่านแล้วฟังพริ้งเราะเสนาะโสต การอ่านทำนองเสนาะจึงมุ่งให้ผู้ฟังเข้าถึงรสและเห็นความงามของบทร้อยกรอง
4. ที่มาของการอ่านทำนองเสนาะ
เข้าใจว่า การอ่านทำนองเสนาะมีมานานแล้วแต่ครั้งกรุงสุโขทัย เท่าที่ปรากฏหลักฐานในศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง พุทธศักราช 1835 หลักที่ หนึ่ง บรรทัดที่ 18 – 20 ดังความว่า “…ด้วยเสียงพาดเสียงพิณ เสียงเลื้อน เสียงขับ ใครจักมักเล่น เล่นใครจักมักหัว หัว ใครจักมักเลื้อน เลื้อน…” จากข้อความดังกล่าว ฉันทิชย์ กระเสสินธุ์ กล่าวว่า เสียงเลื้อน เสียงขับ คือการ้องเป็นทำนองเสนาะ ส่วน ทองสืบ ศุภะมารค ชี้แจงว่า เลื้อนตรงกับภาษาไทยถิ่นว่า “เลิ่น” หมายถึง การอ่านหนังสือเอื้อนเสียงเป็นทำนอง ซึ่งคล้ายกับที่ ประเสริฐ ณ นคร อธิบายว่า “เลื้อน” เป็นคำภาษาถิ่นแปลว่า อ่านทำนองเสนาะ โดยอ้างถึง บรรจบ พันธุเมธา กล่าวว่า คำนี้เป็นภาษาถิ่นของไทยในพม่า ถือไทยในรัฐฉานหรือไทยใหญ่นั่นเอง จากความคิดเห็นของผู้รู้ประกอบกับหลักฐานในศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงดังกล่าว ทำให้เชื่อกันว่าการอ่านทำนองเสนาะของไทยมีมานานหลายร้อยปีแล้ว โดยเรียกเป็นภาษาไทยถิ่นว่า “เลื้อน”
ที่มาหรือต้นเค้าของการอ่านทำนองเสนาะพอจะสันนิษฐานได้ว่า น่าจะมีบ่อเกิดจากการดเนินวิถีชีวิตของคนไทยในสมัยก่อน ที่มีความเกี่ยวกันกับการร้องเพลงทำนองต่าง ๆ ตลอดมา ทั้งนี้จากเหตุผลที่ว่า คนไทยมีนิสัยชอบพูดคำคล้องจองให้มีจังหวะด้วยลักษณะสัมผัสเสมอ ประกอบกับคำภาษาไทยที่มีวรรณยุกต์กำกับจึงทำให้คำมีระดับเสียงสูงต่ำเหมือนดนตรี เมื่อประดิษฐ์ทำนองง่าย ๆ ใส่เข้าไปก็ทำให้สามารถสร้างบทเพลงร้องขึ้นมาได้แล้ว ดังนั้นคนไทยจึงมีโอกาสได้ฟังและชื่นชมกับการร้องเพลงทำนองต่าง ๆ ตั้งแต่เกิดจนตายทีเดียว
ศิลปะการอ่านทำนองเสนาะขึ้นอยู่กับคามสามารถของผู้อ่าน และความไพเราะของบทประพันธ์แต่ละประเภท โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้อ่านทำนองเสนาะจึงต้องศึกษาวิธีการอ่านให้ไพเราะและต้องหมั่นฝึกฝนการอ่านจนเกิดความชำนาญ
อนึ่งศิลปะการอ่านทำนองเสนาะอยู่ที่ตัวผู้อ่านต้องรู้จัก วิธีการอ่านทอดเสียง โดยผ่อนจังหวะให้ช้าลง การเอื้อนเสียง โดยการลากเสียงช้า ๆ เพื่อให้เข้าจังหวะและให้หางเสียงให้ไพเราะ การครั่นเสียง โดยทำเสียงสะดุดสะเทือนเพื่อความไพเราะเหมาะสมกับบทกวีบางตอน การหลบเสียง โดยการหักเสียงให้พลิกกลับจากเสียงสูงลงมาเป็นเสียงต่ำ หรือจากเสียงต่ำขึ้นไปเป็นเสียงสูง เนื่องจากผู้อ่านไม่สามารถที่จะดำเนินตามทำนองต่อไปได้ เป็นการหลบหนีจากเสียงที่เกินความสามารถ จึงต้องหักทำนองพลิกกลับเข้ามาดำเนินทำนองในเขตเสียงของตน และการกระแทกเสียงโดยการอ่านกระชากเสียงให้ดังผิดปกติในโอกาสที่แสดงความโกรธหรือความไม่พอใจหรือเมื่อต้องการเน้นเสียง
5. รสที่ใช้ในการอ่านทำนองเสนาะ
1.1 รสถ้อย ( คำพูด ) แต่ละคำมีรสในคำของตัวเอง ผู้อ่านจะต้องอ่านให้เกิดรสถ้อย
ตัวอย่าง
สักวาหวานอื่นมีหมื่นแสน ไม่เหมือนแม้นพจมานที่หวานหอม
กลิ่นประเทียบเปรียบดวงพวงพะยอม อาจจะน้อมจิตโน้มด้วยโลมลม
แม้นล้อลามหยามหยาบไม่ปลาบปลื้ม ดังดูดดื่มบอระเพ็ดที่เข็ดขม
ผู้ดีไพร่ไม่ประกอบชอบอารมณ์ ใครฟังลมเมินหน้าระอาเอย
1.2 รสความ ( เรื่องราวที่อ่าน ) ข้อความที่อ่านมีเรื่องราวเกี่ยวกับอะไร เช่น โศกเศร้า สนุกสนาน ตื่นเต้น โกรธ รัก เวลาอ่านต้องอ่านให้มีลีลาไปตามลักษณะของเนื้อเรื่องนั้น ๆ
ตัวอย่าง : บทโศกตอนที่นางวันทองไปส่งพลายงามให้ไปหาย่าทองประศรีที่สุพรรณบุรี
ลูกก็แลดูแม่แม่ดูลูก ต่างพันผูกเพียงว่าเลือดตาไหล
สะอื้นร่ำอำลาด้วยอาลัย แล้วแข็งใจจากนางตามทางมา
เหลียวหลังยังเห็นแม่แลเขม้น แม่ก็เห็นลูกน้อยละห้อยหา
แต่เหลียวเหลียวเลี้ยวลับวับวิญญาณ์ โอ้เปล่าตาต่างสะอื้นยืนตะลึง
1.3 รสทำนอง ( ระบบเสียงสูงต่ำซึ่งมีจังหวะสั้นยาว ) ในบทร้อยกรองไทยจะประกอบด้วยทำนองต่าง ๆ เช่น ทำนองโคลง ทำนองฉันท์ ทำนองกาพย์ ทำนองกลอน และทำนองร่าย เป็นต้น ผู้อ่านจะต้องอ่านให้ถูกต้องตามทำนองของร้อยกรองนั้น เช่น โคลงสี่สุภาพ
สัตว์ พวกหนึ่งนี้ชื่อ พหุบา ทาแฮ
มี เอนกสมญา ยอกย้อน
เท้า เกิดยิ่งจัตวา ควรนับ เขานอ
มาก จวบหมิ่นแสนซ้อน สุดพ้นประมาณฯ
1.4 รสคล้องจอง ในบทร้อยกรองต้องมีคำคล้องจอง ในคำคล้องจองนั้นต้องให้ออกเสียงต่อเนื่องกันโดยเน้นสัมผักนอกเป็นสำคัญ เช่น
ถึงโรงเหล้าเตากลั่นควันโขมง มีคันโพงผูกสายไว้ปลายเสา
โอ้บาปกรรมน้ำนรกเจียวอกเรา ให้มัวเมาเหมือนหนึ่งบ้าเป็นน่าอาย
ทำบุญบวชกรวดน้ำขอสำเร็จ พระสรรเพชรโพริญาณประมาณหมาย
ถึงสุราพารอดไม่วอดวาย ไม่ใกล้กรายแกล้งเมินก็เกินไป
ไม่เมาเหล้าแล้วแต่เรายังเมารัก สุดจะหักห้ามจิตคิดไฉน
ถึงเมาเหล้าเช้าสายก็หายไป แต่เมาใจนี้ประจำทุกค่ำคืน
1.5 รสภาพ เสียงทำให้เกิดภาพ ในแต่ละคำจะแฝงไปด้วยภาพ ในการอ่านให้เห็นภาพต้องใช้เสียง สูง – ต่ำ ดัง - ค่อย แล้วแต่จะให้เกิดภาพอย่างไร เช่น
“มดเอ๋ยมดแดง เล็กเล็กเรี่ยวแรงแข็งขยัน
“สุพรรณหงส์ทรงพูดห้อย งามชดช้อยลอยหลังสินธุ์”
“อยุธยายศล่มแล้ว ลอยสวรรค์ ลงฤา”
6. หลักการอ่านทำนองเสนาะ มีดังนี้
1. ก่อนอ่านทำนองเสนาะให้แบ่งคำแบ่งวรรคให้ถูกต้องตามหลักคำประพันธ์เสียก่อนโดยต้องระวังในเรื่องความหมายของคำด้วย เพราะคำบางคำอ่านแยกคำกันไม่ได้ เช่น
“สร้อยคอขนมยุระ ยูงงาม”
(ขน-มยุระ , ขนม-ยุระ)
“หวนห่วงม่วงหมอนทอง อีกอกร่องรสโอชา
(อีก-อก-ร่อง , อี-กอ-กร่อง)
“ดุเหว่าจับเต่าร้างร้อง เหมือนจากห้องมาหยารัศมี”
(จับ-เต่า-ร้าง , จับ-เต่า )
“แรงเหมือนมดอดเหมือนกา กล้าเหมือนหญิง”
(เหมือน-มด , เหมือน-มด-อด )
2. อ่านออกเสียงตามธรรมดาให้คล่องก่อน
3. อ่านให้ชัดเจน โดยเฉพาะออกเสียง ร ล และคำควบกล้ำให้ถูกต้อง เช่น
“เกิดเป็นชายชาตรีอย่าขี้ขลาด บรรยากาศปลอดโปร่งโล่งสมอง
หยิบน้ำปลาตราสับปะรดให้ทดลอง ไหนเล่าน้องครีมนวดหน้าทาให้ที
เนื้อนั้นมีโปรตีนกินเข้าไว้ คนเคราะห์ร้ายคลุ้มคลั่งเรื่องหนังผี
ใช้น้ำคลองกรองเสียก่อนจึงจะดี เห็นมาลีคลี่บานหน้าบ้านเอย”
4. อ่านให้เอื้อสัมผัส เรียกว่า คำแปรเสียง เพื่อให้เกิดเสีงสัมผัสที่ไพเราะ เช่น
พระสมุทรสุดลึกล้น คณนา
( อ่านว่า พระ-สะ-หมุด-สุด-ลึก-ล้น คน-นะ-นา )
ข้าขอเคารพอภิวาท ในพระบาทบพิตรอดิสร
( อ่านว่า ข้า-ขอ-เคา-รบ-อบ-พิ-วาด ใน-พระ-บาด-บอ-พิด-อะ-ดิด-สอน )
ขอสมหวังตั้งประโยชน์โพธิญาณ
( อ่านว่า ขอ-สม-หวัง-ตั้ง-ประ-โหยด-โพด-ทิ-ยาน )
5. ระวัง 3 ต อย่าให้ตกหล่น อย่าต่อเติม และอย่าตู่ตัว
6. อ่านให้ถูกจังหวะ คำประพันธ์แต่ละประเภทมีจังหวะแตกต่างกัน ต้องอ่านให้ถูกวรรคตอนตามแบบแผนของคำประพันธ์นั้น ๆ เช่น มุทิงคนาฉันท์ ( 2-2-3 )
“ป๊ะโทน / ป๊ะโทน / ป๊ะโท่นโท่น บุรุษ / สิโอน / สะเอวไหว
อนงค์ / นำเคลื่อน / เขยื้อนไป สะบัด / สไบ / วิไลตา
7. อ่านให้ถูกทำนองของคำประพันธ์นั้น ๆ ( รสทำนอง )
8. ผู้อ่านต้องใส่อารมณ์ตามรสความของบทประพันธ์นั้น ๆ รสรัก โศก ตื่นเต้น ขบขัน โกรธ แล้วใส่น้ำเสียงให้สอดคล้องกับรสหรืออารมณ์ต่าง ๆ เหล่านั้น
9. อ่านให้เสียงดัง ( พอที่จะได้ยินกันทั่วถึง ) ไม่ใช่ตะโกน
10. ถ้าเป็นฉันท์ ต้องอ่านให้ถูกต้องตามบังคับของครุ - ลหุ ของฉันท์นั้น ๆ
ลหุ คือ คำที่ผสมด้วยสระเสียงสั้น และไม่มีตัวสะกด เช่น เตะ บุ และ เถอะ ผัวะ ยกเว้น ก็ บ่อ นอกจากนี้ถือเป็นคำครุ ( คะ-รุ ) ทั้งหมด
ลหุ ให้เครื่องหมาย ( ุ ) แทนในการเขียน
ครุ ใช้เครื่องหมาย ( ั ) แทนในการเขียน
อ้าเพศก็เพศนุชอนงค์ อรองค์ก็บอบบาง
( อ่านว่า อ้า - เพด – ก้อ – เพด – นุ – ชะ – อะ – นง อะ – ระ – อง – ก้อ – บอบ – บาง )
ควรแต่ผดุงสิริสะอาง ศุภลักษณ์ประโลมใจ
( อ่านว่า ควน – แต่ – ผะ – ดุง – สิ – หริ – สะ – อาง สุ – พะ – ลัก – ประ – โลม – ใจ )
11. เวลาอ่านอย่าให้เสียงขาดเป็นช่วง ๆ ต้องให้เสียงติดต่อกันตลอด เช่น
“วันจันทร์ มีดารากร เป็นบริวาร เห็นสิ้นฟ้า ในป่าท่าธาร มาลีคลี่บาน ในก้านอรชร” เวลาจบให้ทอดเสียงช้า ๆ
7. ประโยชน์ที่ได้รับจากการอ่านทำนองเสนาะ
1.ช่วยให้ผู้ฟังเข้าถึงรสและเห็นความงามของบทร้อยกรองที่อ่าน
2.ช่วยให้ผู้ฟังได้รับความไพเราะและเกิดความซาบซึ้ง ( อาการรู้สึกจับใจอย่างลึกซึ้ง )
3.ช่วยให้เกิดความสนุกสนาน ความเพลิดเพลิน
4.ช่วยให้จดจำบทร้อยกรองได้รวดเร็วและแม่นยำ
5.ช่วยกล่อมเกลาจิตใจให้เป็นคนอ่อนโยนและเยือกเย็น ( ประโยชน์โดยอ้อม )
6.ช่วยสืบทอดวัฒนธรรม ในการอ่านทำนองเสนาะไว้เป็นมรดกต่อไป
ควรแต่ผดุงสิริสะอาง ศุภลักษณ์ประโลมใจ
( อ่านว่า ควน – แต่ – ผะ – ดุง – สิ – หริ – สะ – อาง สุ – พะ – ลัก – ประ – โลม – ใจ )
11. เวลาอ่านอย่าให้เสียงขาดเป็นช่วง ๆ ต้องให้เสียงติดต่อกันตลอด เช่น
“วันจันทร์ มีดารากร เป็นบริวาร เห็นสิ้นฟ้า ในป่าท่าธาร มาลีคลี่บาน ในก้านอรชร” เวลาจบให้ทอดเสียงช้า ๆ
7. ประโยชน์ที่ได้รับจากการอ่านทำนองเสนาะ
1.ช่วยให้ผู้ฟังเข้าถึงรสและเห็นความงามของบทร้อยกรองที่อ่าน
2.ช่วยให้ผู้ฟังได้รับความไพเราะและเกิดความซาบซึ้ง ( อาการรู้สึกจับใจอย่างลึกซึ้ง )
3.ช่วยให้เกิดความสนุกสนาน ความเพลิดเพลิน
4.ช่วยให้จดจำบทร้อยกรองได้รวดเร็วและแม่นยำ
5.ช่วยกล่อมเกลาจิตใจให้เป็นคนอ่อนโยนและเยือกเย็น ( ประโยชน์โดยอ้อม )
6.ช่วยสืบทอดวัฒนธรรม ในการอ่านทำนองเสนาะไว้เป็นมรดกต่อไป
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)